วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

สาวE-Girlsหน้าใส"ภิญญาพัชญ์" ออมเงิน...คือการฝึกวินัยให้ตนเอง





น้องแก้ม ภิญญาพัชญ์ ด่านอุตรา
       คอลัมน์เจาะพอร์ตคนดัง
       

       การลงทุนในตลาดหุ้นทุกวันนี้ มีความเสี่ยงจากราคาหุ้นที่ผันผวน เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง นักลงทุนจึงไม่ควรนำเงินออมทั้งหมดมาลงทุนในหุ้น แต่ต้องมีการแบ่งเงินออมเป็นส่วนๆในเงินฝาก หรือตราสารการเงินอื่นๆที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยทั่วไปแล้วการแบ่งสัดส่วนเงินมาลงทุนในหุ้นจะแปรผกผันกับอายุของผู้ลงทุน อายุยังน้อยๆก็เล่นหุ้นได้มาก รับความเสี่ยงได้มากกว่า เนื่องจากถ้าขาดทุนในบางช่วงตามความผกผันของตลาดหุ้น ก็ยังมีโอกาสรอให้หุ้นดีขึ้นในอนาคต หรือหากขาดทุนเพราะเลือกหุ้นไม่ดี ก็ยังมีโอกาสทำงานหาเงินได้ แต่ถ้าอายุมากแล้วก็ควรเล่นหุ้นน้อยๆ เพราะเวลาที่เหลือในการแก้ตัวหากเกิดการขาดทุนก็จะน้อยลงตามอายุที่เหลือ อยู่...
       
       “คอลัมน์เจาะพอร์ตคนดัง” วันนี้ขอพามาดูการบริหารเงินออมในแบบฉบับของ "น้องแก้ม-ภิญญาพัชญ์ ด่านอุตรา" สาวมาดขรึมนักกฎหมาย จากรั้วจามจุรีที่ติด 1 ใน 8 จากการประกวด K-group E-Girls เจนเนอเรชั่นที่ 4 มานำเสนอให้คุณผู้อ่านได้รับทราบกัน ว่าเธอมีมุมมองการลงทุนเป็นอย่างไรกันบ้างและเธอมีแนวทางการวางแผนการดำเนิน ชีวิตในอนาคตอย่างไรด้วย
       
       "น้องแก้ม"เล่าว่า จากการประกวดสาว K-group E-Girls เมื่อช่วง 2 ปีที่ผ่านมานั้น ได้ติด 1 ใน 8 ซึ่งทำให้ได้เงินรางวัลมาทั้งสิ้น 1.5 ล้านบาท แต่ไม่ได้รับมาเป็นก้อนเลยทีเดียว โดยในช่วงแรกตอนเซ็นสัญญาทางธนาคารกสิกรไทยจะให้เงินมาจำนวน 240,000 บาท และที่เหลือจะให้เป็นเดือน ๆ ละ 30,000 บาท ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ปฎิบัติภาระกิจให้กับทางธนาคาร และในกำลังจะหมดสัญญาลงในสิ้นเดือนพฤษภาคม นี้ และจะมีสาว K-group E-Girls รุ่นที่ 5 เข้ามาทำงานแทน ทั้งนี้ จากเงินรางวัลที่ได้จากการประกวดถือว่าเยอะมากสำหรับเด็กที่เพิ่งจบการศึกษา ใหม่ ทำให้เราได้มีการฝึกฝนในเรื่องของการออมเงินและการลงทุนไปในตัวด้วย
       
       “ประโยชน์ ของการออมเงินนั้นเป็นการฝึกวินัยให้กับตัวเอง เพราะการใช้จ่ายที่ตามใจตัวเองนั้นมันจะทำให้เราไม่สามารถบังคับตัวเองได้ ซึ่งมันจะส่งผลต่อแนวโน้มในอนาคตว่าเราจะไม่มีเงินเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็นเลย ดังนั้น เราควรฝึกตัวเองให้มีการจัดเก็บเงินในแต่ละเดือนเป็นระบบมากขึ้น มันจะเป็นการวางแผนที่ดีต่ออนาคต เนื่องจากวันข้างหน้า เป็นสิ่งไม่แน่นอน เพราะเราอาจจะต้องมีการใช้จ่ายในยามฉุกเฉินก็เป็นได้” แก้มบอก
       
       "แก้ม" บอกอีกว่า การประกวดครั้งนี้ไม่ใช่เป็นรายได้แรกของแก้ม ซึ่งรายได้แรกที่แก้มสามารถหามาได้ด้วยตนเองนั้นเป็นช่วงปิดเทอมตอนเรียน อยู่ปี 2 ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นโครงการเวิร์ลแอนด์เทรเวล นักเรียนแลกเปลี่ยนที่จะไปอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเราได้มีโอกาสเข้าไปทำงานในร้านค้าต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร หรือร้านกิ๊ฟชอบบ้าง ซึ่งในขณะ นั้นทำได้ประมาณ 2 เดือนตกเดือนหนึ่งมีรายได้ประมาณเดือนละ 70,000 บาท รวมแล้วได้มาประมาณแสนกว่าบาท พอต้องบินกลับมากรุงเทพฯ เราก็นำเงินที่ได้มาให้กับคุณพ่อคุณแม่ทุกบาททุกสตางค์
       

       กับการทำงานครั้งแรก"แก้ม"บอกว่า รู้สึกดีใจมาก เพราะเราได้ประสบการณ์ในหลาย ๆ ด้าน ได้รู้จักการทำงานกับต่างชาติว่าเป็นอย่างไร ได้เรียนรู้การทำงานในต่างแดน รวมถึงได้ไปเปิดโลกทัศน์สิ่งใหม่ ๆ ให้กับตัวเองว่าต่างประเทศเขามีอะไรที่แตกต่างจากประเทศไทยอย่างไรด้วย ซึ่งถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก
       
       ส่วนงานด้านประชาสัมพันธ์พิเศษของธนาคารกสิกรไทยนั้นแก้ม บอกว่า “การ ปฏิบัติหน้าที่ในช่วงที่ผ่านมา สอนเให้รู้จักการวางตัวและรักษาภาพลักษณ์ ไม่ใช่แค่เพื่อให้ตัวเองดูดี แต่เพราะการมีบทบาทเป็นตัวแทนขององค์กร ที่ฝึกให้มีบุคลิกที่ดีจนเคยชินด้วย นอกจากนี้แล้วยังได้ในเรื่องของข่าวสารด้านการลงทุนต่าง ๆ ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่เราจะได้ความรู้เสริมในสิ่งที่เราไม่รู้”
       
       ขณะนี้แก้มจบการศึกษาแล้วจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะนิติศาสตร์ และกำลังจะไปศึกษาต่อด้านกฎหมายที่คอแนน สหรัฐอเมริกา โดยแก้มได้รับทุนจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เพื่อศึกษาต่อในสาขาด้านกฎหมายระหว่างประเทศ ก่อนกลับมาทำงานในตำแหน่งนักวิชาการ ที่กระทรวงคมนาคม
       
       สุดท้าย"แก้ม"ฝากบอกว่า จาก สภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ถือว่าค่อนข้างหนัก เพราะโดนกระทบกันถ้วนหน้าแบบเป็นลูกโซ่ ทำให้ภาคธุรกิจต้องชะงัก หรือบางแห่งอาจจะต้องปิดตัวหรือปลดพนักงานออกก็มี เนื่องจากกำลังการผลิตในการส่งออกปรับตัวลดลงเป็นอย่างมาก ดังนั้น สิ่งที่จะทำได้ในขณะนี้คือการติดต่อข่าวสารต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำเพื่อที่จะได้นำมาปรับใช้ในชีวิตเราและเพื่อเป็น ป้องกันและระมัดระวังกับการใช้จ่ายมากยิ่งขึ้น
       

       ///////////////////////////////////////////////////////////////////////
       ชื่อ – นามสกุล ภิญญาพัชญ์ ด่านอุตรา (แก้ม)
       วันเดือนปีเกิด 8 มีนาคม 2528
       การศึกษา ปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์
       จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
       งานปัจจุบัน K – Group e-girl ธนาคารกสิกรไทย
       (เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์พิเศษ)

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 พฤษภาคม 2552 02:32 น.

วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

วันพุธที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

10 วิธีพลิกวิกฤตให้กลายเป็นโอกาส(สู้+ไม่ยอมแพ้)

10 วิธีพลิกวิกฤตให้กลายเป็นโอกาส(สู้+ไม่ยอมแพ้)
5 กุมภาพันธ์ 2552 - 0:07:00
เว็บไซต์สมาคม จิตวิทยาอเมริกา (APA) มีคำแนะนำเรื่อง "10 วิธีพลิกวิกฤตให้กลายเป็นโอกาส (สู้ + ไม่ยอมแพ้)" หรือ "10 ways to build resilience (= 10 วิธีสร้างความสามารถในการพลิกฟื้นหลังวิกฤต)"
ผู้เขียนขอนำมาเล่าสู่กัน ฟังในสไตล์ "ไทยหลายคำ-อังกฤษน้อยคำ" เพื่อให้พวกเรา (ทั้งท่านผู้อ่านและท่านผู้เขียน) ได้เรียนภาษาอังกฤษไปด้วยกันครับ
 
 >
(1). Make connections = สร้างความสัมพันธ์
  • ไม่ว่าชีวิตจะสูงขึ้นหรือต่ำลง... สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ การมีญาติสนิทมิตรสหายที่ดี ยุคนี้ดีกว่ายุคไหนๆ ตรงที่ว่า คนเรามีมิตรภาพได้ทั้งออฟไลน์ (off-line = ชีวิตจริงนอกอินเตอร์เน็ต) และออนไลน์ (online = ชีวิตบนอินเตอร์เน็ต)
  • อาจารย์หมอบุญนำ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชเขียนไว้ในจุลสารสภานักศึกษา มอ. ประมาณปี 2525 ว่า คนที่มีพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ หรือญาติสนิทมิตรสหายดีเปรียบเสมือนคนที่ที่ "ที่พิงหลัง" พบวิกฤตอะไรก็พอกลับไปลี้ภัยได้ ระบายได้ เปรียบคล้ายกันชน (buffer) ทำให้ชีวิตมีทางออกในยามวิกฤต ทำให้ล้มได้ยาก
  • การมีญาติสนิทมิตรสหายดีๆ อย่างเดียวไม่พอ ต้องรู้จักบ่มเพาะมิตรภาพให้งอกงามด้วย เช่น รู้จักแสดงความชื่นชมคนรอบข้างอย่างน้อยวันละครั้ง ไปเยี่ยมเยียนพร้อมของฝากหรือข่าวดีบ้าง ฯลฯ
 (2). Avoid seeing crises as unsurmountable problems = หลีกเลี่ยงการมองวิกฤตว่า เป็นทางตัน (ไม่มีทางออก)
  • ควรฝึกมองโลกในหลายมุมมอง เมื่อมีข่าวดีเข้ามา... ให้ลองมองหาข่าวร้ายที่มักจะแฝงมาด้วย เมื่อมีข่าวร้ายเข้ามา... ให้ลองมองหาข่าวดีที่มักจะแฝงมาด้วยเสมอ
  • ปัญหา (ชีวิต) มีไว้ให้แก้ ไม่ใช่มีไว้ให้เรายอมจำนน กล่าวกันว่า ดาบดีเพราะผ่านร้อนผ่านหนาว
  • การทำดาบเมื่อก่อนจะเผาไฟ ตีๆๆๆๆ ชุบน้ำ ทำให้เหล็กมันร้อนๆ หนาวๆ อย่างนี้หลายๆ ครั้ง ดาบจึงจะแกร่ง ชีวิตที่ผ่านอุปสรรคมามาก (และยืนหยัด ไม่ยอมแพ้) มักจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
 (3). Accept that change is a part of living = ยอมรับว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
  • ชีวิตมักจะประกอบด้วยส่วนที่เราควบคุมได้ และส่วนที่เราควบคุมไม่ได้... หน้าที่ของเราคือ ทำส่วนที่เราควบคุมได้ให้ดีที่สุด
  • อย่าไปกังวล หมกมุ่นกับส่วนที่เราควบคุมไม่ได้มากเกินไป เพราะถึงกังวลก็ทำอะไรกับส่วนนี้ไม่ได้
  • เมื่อทำส่วนที่เราควบคุมดีที่สุด แล้ว ขอให้มั่นใจว่า เราทำเต็มที่แล้ว ได้เท่าไรก็เท่านั้น เพราะนั่นคือ อะไรที่ดีที่สุด เต็มแรง เต็มกำลังของเราแล้ว... ที่เหลือก็ต้องใช้ยา "ทำใจ" กันบ้างละ
 (4). Move towards your goal = ก้าวไปสู่เป้าหมาย
  • ความสำเร็จใหญ่ๆ มักจะมาจากความพยายามเล็กๆ หลายๆ ครั้ง แน่นอนว่า มักจะต้องผ่านการล้มลุกคลุกคลาน เดินหน้าถอยหลังหลายครั้ง
  • คนที่ประสบความสำเร็จในระยะยาวคือ คนที่ยืนหยัดได้บ่อย ได้นาน และพร้อมจะเริ่มต้นใหม่บ่อยๆ ไม่ว่าจะล้มเหลวกี่ครั้งก็ตาม
(5). Take decisive actions = ทำจริง ไม่โลเล
  • คนที่ประสบความสำเร็จมักจะหาข้อมูลรอบ ด้านมาประกอบการตัดสินใจปัญหา ตัดสินด้วยความมั่นใจ (decisive) และลงมือทำ (actions) ไม่หลีกลี้หนีปัญหา ซื้อเวลา แต่จะตัดสินใจ และลงมือทำ และ "ทำจริง"
 (6). Look for opportunities for self-recovery = มองหาโอกาสแห่งการพลิกฟื้นกลับคืนมา
  • คนที่ประสบความสำเร็จมักจะเป็นคนที่มีวินัยในการควบคุมตัวเองสูง เชื่อมั่นในการลงมือทำอะไรดีๆ
  • ตัวอย่างเช่น ถ้าป่วยหนักก็เป็นคนไข้ที่ดี ทำตามที่พยาบาลหรือหมอแนะนำ ไม่กล่าวร้ายชะตากรรมว่า เป็นของคนอื่น ฯลฯ เช่น พยายามทำกายภาพบำบัดให้ความแข็งแรงกลับคืนมา จะได้หายไวๆ ฯลฯ
  • ผู้เขียนสังเกตว่า คนไข้มะเร็ง คนไข้เบาหวานที่อาการแย่ลงไปเรื่อยๆ ฯลฯ ส่วนหนึ่งจะมองโลกในแง่ร้าย เช่น มักจะโทษว่า อาการที่เลวลงเป็นผลจากยา โทษพยาบาล โทษหมอ แต่ไม่มองความประพฤติที่ไม่ดีของตัวเอง เช่น เป็นเบาหวานแต่ละโมบโลภมาก กินลำไยคราวละ 2-3 กิโลกรัม ฯลฯ
(7). Nurture a positive view of yourself = ทะนุถนอมมุมมองด้านบวก
  • พัฒนาตัวเองและใส่ใจสุขภาพ เพื่อให้ตัวเรามีศักยภาพสูงพร้อมรับวิกฤตเสมอ เช่น ออกแรง-ออกกำลังเป็นประจำ นอนให้พอ กินอาหารครบทุกหมู่พอประมาณ เรียนรู้เรื่องใหม่อยู่เสมอ ฯลฯ
  • นอกจากนั้นควรฝึกทำอะไรดีๆ เป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะการฝึกทำ "อะไรๆ" ให้ดีขึ้นคราวละเล็กละน้อย เช่น ถ้าเป็นคนขับรถก็ต้องเรียนรู้วิธีดูแลรักษารถ วิธีซ่อมรถ วิธีขับรถ ฯลฯ ให้ดีขึ้นทุกๆ วัน เป็นการต่อยอดองค์ความรู้ทุกวัน
  • ไม่ว่าจะทำงานอะไร... ควรถามตัวเองเสมอว่า วันนี้เราทำอะไรได้ดีกว่าเมื่อวานหรือเปล่า ปีนี้เราทำอะไรได้ดีกว่าปีก่อนๆ หรือเปล่า มีทางใดที่จะทำให้ดีขึ้นไปกว่านี้อีกหรือไม่ แล้วเราจะเก่งขึ้น มั่นใจในตัวเองขึ้น พร้อมที่ฝ่าฟันวิกฤตมากขึ้นเรื่อยๆ
 (8). Keep things in perspective = ใช้มุมมองที่มีเหตุผล
  • มองโลกให้กว้างและไกลออกไป โดยใช้มุมมองที่มีเหตุผล โดยลองเขียนออกมาเป็นตัวหนังสือว่า ถ้าวิกฤตครั้งนี้หนักที่สุดจะเป็นอย่างไร และตรงกันข้าม... ถ้าเบาที่สุดจะเป็นอย่างไร และหาทางผ่อนหนักให้กลายเป็นเบา
  • การฝึกทำงานอาสาสมัครส่วนใหญ่จะช่วยให้คนเรามองโลกกว้างขึ้น และพบเห็นคนอื่นที่ลำบากกว่าเราอีกเยอะแยะ
  • ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเคยไปในเขตพายุนาร์กิสจะพบว่า หมู่บ้านบางแห่งมีคนก่อนพายุ 300 คน หลังพายุเหลือ 30 คน แถมบ้านยังพังเกือบหมด บ่อน้ำก็เต็มไปด้วยน้ำเค็ม ฯลฯ ยิ่งเห็นโลกมากขึ้นเท่าไร... ภัยพิบัติของเราก็จะดูเล็กลงไปเรื่อยๆ
  • ตรงกันข้ามถ้าวันๆ เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องของเราคล้ายๆ กับการ "พายเรือในอ่าง"... น้ำในอ่างจะยิ่งใหญ่ (ในความคิดของเรา) ราวกับพายุถล่มโลกทีเดียว
  • ฝรั่งมีคำกล่าวว่า ในบรรดาการทำให้คน "เสียคน" ไม่มีอะไรจะเกินการตามใจเด็กอย่างไม่มีขอบเขต และเรียกเด็กที่ถูกตามใจคนเคยว่า เป็นพวก 'spoiled child' หรือเด็กที่ถูกทำลาย เนื่องจากเด็กที่ถูกตามใจมากๆ มักจะเสียคน เช่น โตขึ้นมาก็ติดยาเสพติด หรือกลายเป็นคนที่ "ไม่รู้จักพอ" ฯลฯ
(9). Maintain a hopeful outlook = รักษาความหวังไว้
  • ไม่ว่าจะสูญเสียอะไรในชีวิต... สิ่งที่ควรรักษาไว้เสมอคือ "ความหวัง (hope)" เพราะคนที่ยังมีความหวังได้ชื่อว่า เป็นคนที่ยังมี "อนาคต"
  • ประสบการณ์ของคนที่รอดจากภัยพิบัติหนักๆ มาได้ ไม่ตายทั้งๆ ที่น่าจะตายตอบตรงกันว่า อยู่ได้เพราะความหวัง เช่น อยากจะกลับไปอยู่กับลูก อยากจะทำอะไรดีๆ ให้มากกว่านี้ ฯลฯ
 (10). Take care of yourself = ใส่ใจสุขภาพด้วย
  • ไม่ว่าวิกฤตจะใหญ่เท่าฟ้าหรือจะเล็กกว่า เส้นผม... สิ่งที่ไม่ควรลืมคือ อย่าลืมเอาใจใส่ตัวเองทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ เช่น กินอาหารสุขภาพพอประมาณ ออกแรง-ออกกำลังเป็นประจำ นอนให้พอ ฯลฯ
  • เรื่องที่ไม่ควรทำคือ อย่าทำร้ายตัวเองด้วยการอดข้าว การกินมากเกิน หรือการดื่มเหล้า ฯลฯ
  • ถ้าเครียดจนเกินไป... การปรึกษาหมอใกล้บ้านอาจจะช่วยได้ แต่ขออย่าทำตัวเป็นคนขี้บ่นมากเกิน เช่น คนไข้บางคนบ่นตั้งแต่รั้ว (บ่นกับ รปภ.) บ่นกับห้องบัตร บ่นกับพยาบาล บ่นกับหมอ... บ่นๆๆๆ จนหมอปวดหัว เขียนใบสั่งยาผิดพลาด หรือบ่นจนญาติพี่น้องหนีหายไปหมด (พบบ่อยในคนสูงอายุ) ฯลฯ
ไม่ว่าวิกฤต จะหนักเพียงไร... วิกฤตนั้นก็มาคู่กับโอกาสเสมอ ซึ่งก็เป็นธรรมดาของโลกที่ว่า ข่าวดีมักจะมาคู่กับข่าวร้าย และข่าวร้ายมักจะมาคู่กับข่าวดี
เราจะมองโลกในแง่ดีแบบท่านเติ้ง เสี่ยว ผิงก็ได้... ท่านกล่าวว่า "หลังพายุ... ท้องฟ้าจะแจ่มใส" หรือหลังวิกฤตมักจะมีโอกาสตามมา (มองโลกในแง่ดี)
หรือเราจะ มองโลกในแง่ร้ายแบบนี้ก็ได้... "หลังพายุ... จะมีพายุลูกอื่นๆ ตามมา (อีกหลายลูก)" ทว่า... ตอนนี้เรียนเสนอให้มองโลกในแง่ดีไว้ก่อน เพราะมองโลกแบบนี้น่าจะดี
ถึงตรงนี้... ขอให้พวกเรามีสุขภาพดีไปนานๆ ครับ

วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

โลกเป็นอย่างไรเมื่อ 100 ปีที่แล้ว (​1908)

เป็นสิ่งที่ทำให้คุณรู้ว่า เราในปัจจุบันช่างแตกต่างจริงๆ
     ************ ********* ********* ******
  1. มีเพียง 14 เปอร์เซ็นต์ของบ้านมีอ่างอาบน้ำ.
  2. เฉพาะ 8 เปอร์เซ็นต์ของบ้านมีโทรศัพท์.
  3. สูงสุดความเร็วจำกัดในเกือบทุกเมืองคือ 10 ไมล์ต่อชั่วโมง.
  4. โครงสร้างที่สูงที่สุดในโลกคือ Eiffel ทาวเวอร์!
  5. ในอัตราค่าจ้างโดยเฉลี่ยคือ  7 บาท/ชั่วโมง
  6. เฉลี่ยค่าแรงที่คนงานทำระหว่าง $ 200 และ $ 400 ต่อปี.
  7. พนักงานบัญชีที่สามารถคาดหวังได้ $ 2000 ต่อปี,
  8. หมอฟันเงินเดือน $ 2500 ต่อปีเป็นสัตวแพทย์ระหว่าง $ 1500 และ $ 4000 ต่อปีและวิศวกรช่างกลประมาณ $ 5000 ต่อปี.
  9. มากกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ของสถานที่ทั้งหมดที่เกิดที่บ้าน
  10. เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ทั้งหมดแพทย์ไม่จบอุดมศึกษา!
  11. แต่พวกเขาเข้าร่วมเพื่อที่เรียกแพทย์โรงเรียนหลายที่
  12. ได้ถูกตราหน้าในกดรัฐบาลเป็น 'ถึงขนาด. '
  13. น้ำตาลต้นทุนสี่เซ็นปอนด์.
  14. ไข่ถูกสิบสี่เซ็นเป็นโหล.
  15. กาแฟเป็นสิบห้าเซ็นต์ปอนด์.
  16. ผู้หญิงส่วนใหญ่ของพวกเขาเท่านั้นล้างผมเดือนละหนึ่งครั้งและใช้ น้ำประสานทองหรือไข่เป็นแชมพู.
  17. แคนาดาผ่านที่กฎหมายห้ามยากจนคนจาก
  18. เข้ามาในประเทศของตนด้วยเหตุผลใดก็ตาม.
  19. ห้าชั้นนำสาเหตุแห่งความตายได้: 1. ปอดบวมและไข้หวัดใหญ่ 2. วัณโรค 3. ป่วง 4. โรคหัวใจ 5. เส้นเลือดในสมองอุดตัน
  20. ธงอเมริกันมีดาว 45 ดาว
  21. ประชากรที่ลาสเวกัส, เนวาดาเป็นมีเพียง 30 คน!!!!
  22. จำนวน 2 ใน 10 คนของผู้ใหญ่ไม่สามารถอ่านหรือเขียน.
  23. จำนวน 6 % ทั้งหมดมีชาวอเมริกันสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมัธยม.
  24. มีเจ้าหน้าที่เต็มเวลา 1 คน ที่จะช่วยเมืองทั้งเมือง
  25. มีรายงานเกี่ยวกับ 230 ใน murders ทั้งหมด! U.S.A.! ( ปี 2004 มี 14,124 คน เพิ่มขึ้น 61 เท่า)

วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2552

"Every thought is a seed. If you plant crab apples, don't count on harvesting golden delicious."
-- Bill Meyer

วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2552

แจ้งเกิด"ห้องสมุดดิจิตอลโลก"ในนามยูเอ็น




คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
เจมส์ บิลลิงตัน (James Billington) บรรณารักษ์ห้องสมุดรัฐสภาอเมริกัน

บรรยากาศการเปิดตัวที่สำนักงานใหญ่ยูเนสโก กรุงปารีส

ตัวอย่างเอกสารภาษาอาหรับที่ถูกนำมาแสดงในห้องสมุดดิจิตอลโลก

ตัวอย่างภาพถ่ายขนาดใหญ่ที่มีในห้องสมุดดิจิตอลโลก ขอบคุณภาพจากเอเอฟพี

ห้องสมุดดิจิตอลโลกหรือ World Digital Library เปิดตัวแล้วอย่างเป็นทางการที่สำนักงานใหญ่ยูเนสโก (UNESCO) ที่กรุงปารีส เปิดกว้างให้ประชากรโลกสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้หลากรู้แบบทั้งหนังสือ แผนที่ เมนูสคริปต์ ภาพยนตร์ และรูปภาพได้ฟรีไม่ว่าผู้ใช้จะอยู่มุมไหนบนโลกกลมๆใบนี้
       
       นี่คือห้องสมุดดิจิตอลเสรีขนาดใหญ่แห่งที่ 3 แล้วนับตั้งแต่โลกได้รู้จักบริการสแกนหนังสือเพื่อการค้นหาของกูเกิล Google Book Search และโครงการองค์ความรู้ออนไลน์ของสหภาพยุโรป (EU) นาม Europeana สำหรับโครงการห้องสมุดดิจิตอลโลกที่เปิดให้บริการในนามสหประชาชาตินี้เปิด ให้บริการที่ wdl.org ให้ประชากรโลกได้เข้าชมภาพวาดและข้อมูลวัตถุโบราณของจีน ศิลปะเปอร์เซีย ไปจนถึงหลักฐานประวัติศาสตร์จากภาพถ่ายในพื้นที่ลาตินอเมริกาโดยไม่เสียค่า ใช้จ่ายใดๆ
       
       โครงการนี้มีเจมส์ บิลลิงตัน (James Billington) บรรณารักษ์ห้องสมุดรัฐสภาอเมริกัน และโคอิชิโร มัตซุอุระ (Koichiro Matsuura) ผู้อำนวยการทั่วไปยูเนสโกดำเนินงานร่วมกัน บนจุดประสงค์เพื่อให้ประชากรโลกเข้าถึงข้อมูลจากห้องสมุดและแหล่งข้อมูลทั่ว โลกได้อย่างทั่วถึง เน้นการเผยแพร่ข้อมูลซีกโลกตะวันออก เพื่อสร้างความเข้าใจระหว่างสองวัฒนธรรมที่ดีขึ้น และช่วยให้คณาจารย์ทั่วโลกมีแหล่งค้นหาข้อมูลการสอนใหม่ๆที่ถูกต้องและครบ ถ้วน
       
       ผู้ที่รับหน้าที่ให้บริการโครงการนี้คือองค์การวัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ และการศึกษาของสหประชาชาติหรือ UN Educational, Scientific and Cultural Organization ร่วมกับสถาบันพันธมิตรอีกกว่า 32 แห่ง ผู้พัฒนาคอนเทนท์ภายในคือห้องสมุดรัฐสภาสหรัฐฯหรือ US Library of Congress ห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลกขณะนี้ เริ่มทดสอบโครงการตั้งแต่ปี 2007 หรือ 2 ปีที่แล้ว ให้บริการ 7 ภาษาหลักของโลก ได้แก่ ภาษาอาหรับ จีน อังกฤษ ฝรั่งเศส โปรตุเกส รัสเซีย และภาษาสเปน โดยมีข้อมูลทางวัฒนธรรมเพิ่มเติมในภาษาอื่นจาก 19 สถาบันวัฒนธรรมและห้องสมุดทั่วโลกด้วย เช่น สถาบันจากประเทศบราซิล อังกฤษ จีน อียิปต์ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น รัสเซีย ซาอุดิอาระเบีย และสหรัฐอเมริกา
       
       รายงาน ระบุว่าข้อมูลที่ worlddigitallibrary.org ได้จากสถาบันเหล่านี้ไม่ใช่ข้อมูลพิเศษที่สถาบันมอบให้กับ worlddigitallibrary.org รายเดียว แต่ก็เป็นข้อมูลที่มีความละเอียดเหมาะแก่การค้นคว้าของผู้เชี่ยวชาญ โดยคณะทำงานตั้งความหวังว่าจะขยายเขตความร่วมมือให้ครอบคลุม 60 ประเทศในปีนี้ เช่นสถาบันในโมร็อคโค ยูกันดา แมกซีโก และสโลวาเกีย ที่ได้ตกลงเซ็นเอ็มโอยูในการทำงานร่วมกันในโครงการนี้แล้ว
       
       อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ถือว่าแจ้งเกิดช้าเนื่องจากบริษัทเอกชนอย่างกูเกิลได้เปิดตัว บริการค้นหาหนังสือออนไลน์ลักษณะคล้ายกับห้องสมุดโลกแล้วในชื่อ Google Book Search ตั้งแต่ปี 2004 มีการสแกนหนังสือกว่า 7 ล้านเล่มและอัปโหลดขึ้นไปเก็บไว้ใน books.google.com บนความร่วมมือระหว่างห้องสมุดในมหาวิทยาลัยทั่วสหรัฐฯและประเทศอื่นๆ แต่แล้วกูเกิลก็ต้องปวดหัวกับปัญหาลิขสิทธิ์หนังสือทั้งจากผู้เขียนและสำนัก พิมพ์ของสหรัฐฯเอง กระทั่งต้องเสียเงินยอมความไปกว่า 125 ล้านเหรียญและดำเนินการเจรจาเพื่อยุติปัญหาที่ยืดเยื้อมานานกว่า 2 ปี
       
       สรุปผลการเจรจาของกูเกิลและเจ้าของลิขสิทธิ์หนังสือที่เกิดขึ้นใน เดือนตุลาคมที่ผ่านมานั้น ปรากฏว่าหนังสือที่เป็นสมบัติสาธารณะ จะเปิดให้ผู้ใช้กูเกิลดาวน์โหลดหนังสือได้ทั้งเล่ม ขณะที่หนังสือสงวนลิขสิทธิ์จะเปิดให้ผู้ใช้ชมฟรีได้ 20 เปอร์เซ็นต์ของหนังสือ ซึ่งหากต้องการใช้เพิ่มเติมจะต้องชำระเงินให้เจ้าของลิขสิทธิ์ วิธีการนี้เป็นที่พอใจของสำนักพิมพ์และผู้แต่งหนังสือเนื่องจากสามารถหาราย ได้ทั้งในแง่การขายและการโฆษณา
       
       ปลายปี 2006 ยักษ์ใหญ่ซอฟต์แวร์อย่างไมโครซอฟท์ (Microsoft) ออกมาเปิดตัวโครงการห้องสมุดเช่นกัน แต่กลับประกาศยกเลิกโครงการไปใน 18 เดือนถัดมาทั้งที่ได้สแกนหนังสือไปแล้วกว่า 750,000 เล่มซึ่งแปลว่าไมโครซอฟท์ยอมถอยทัพให้กูเกิลแต่โดยดี
       
       โครงการสาธารณะที่ถือว่าเป็นทางเลือกอื่นนอกจาก Google Books คือโครงการห้องสมุดดิจิตอลของสหภาพยุโรปนาม Europeana ให้บริการที่ www.europeana.eu มีกำหนดการทดสอบบริการถึงปี 2010 ปัจจุบันมีผู้ชมราว 40,000 คนต่อวัน เปิดให้ผู้ใช้เข้าถึงสื่อสาธารณะ 4.6 ล้านชิ้น เช่น หนังสือ ภาพยนตร์ ภาพวาด ภาพถ่าย เสียง แผนที่ เมนูสคริปต์ และหนังสือพิมพ์เก่าซึ่งถูกเก็บในนานาห้องสมุดของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป คาดว่าจะมีสื่อสาธารณะถูกสแกนและอัปโหลดเพิ่มเป็น 10 ล้านชิ้นในปี 2010
       
       Company Related Links :
       WorldDigitalLibrary

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์22 เมษายน 2552 14:32 น.

วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2552

Life is short...Beautiful Lesson

Beautiful Lesson  !!!!!!!!



The girl in the picture is  Katie Kirkpatrick,  she is  21 .  Next to her, her fianc
é, Nick, 23. 
The picture was taken shortly before their wedding ceremony, held on January 11, 2005 in the US .
 
Katie has terminal cancer and spend hours a day receiving medication.
In the picture, Nick is waiting for her on one of the many sessions of chemo to end.
 





In spite of all the pain, organ failures, and morphine shots, Katie is going along with her wedding  and took care 
of every detail. The dress had to be adjusted a few times due to her constant weight loss
 





An unusual accessory at the party was the oxygen tube that K
atie used throughout the ceremony and reception as well.
The other couple in the picture are Nick's parents. Excited to see 
 their son marrying his high school sweetheart. 




Katie, in her wheelchair with the oxygen tube ,  listening 
 to a song from her husband and friends  


At the reception, Katie had to take a few rests.
   The pain did not allow her to stand for long periods 





Katie died five days after her wedding day. Watching a wom
an so ill and weak getting married and with a smile on her face makes us think..... 
Happiness is reachable, no matter how long it last 
We should stop making ou
lives complicated. 


Life is short
 
Break the rules
forgive quickly
 
love truly
 
laugh constantly
 
And never stop smiling 
no matter how strange life is
Life is not always the party we expected to be
but as long as we are here, we should smile and be grateful.

Funny Quote of the Day

ผู้ติดตาม

คลังบทความของบล็อก